21 August 2010

ดอกผีเสื้อ


ดอกผีเสื้อ

ดอกผีเสื้อ สีสด งดงาม

ดอกผีเสื้อ คู่กับ ผีเสื้อ

ดอกผีเสื้อสร้างสรรความงาม

ผีเสื้อ สร้างพงศ์พันธ์ให้กับดอกไม้

ทุกสิ่งอย่างล้วนเกื้อกูลอาศัยกัน ไม่มีสิ้นสุด

เราเป็นมนุษย์ ใยจะไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

ดอกผีเสื้อ
ผีเสื้อเป็นไม้พุ่มเล็กสูงประมาณ 10-15 นิ้ว ใบมีสีเขียวแก่ ลักษณะใบยาวปลายเรียวแหลม ขอบใบทั้งสองข้างมักจะโค้งเข้าหากลางใบเล็กน้อย ทำให้มีลักษณะคล้ายร่องน้ำ ใบออกเป็นคู่แบบสลับ โดยใบจะหุ้มรอบข้อทำให้ส่วนข้อมีลักษณะบวมโต ดอกมีทั้งชนิดดอกซ้อนและดอกชั้นเดียว ปลายกลีบดอกจะมีลักษณะจักๆ คล้ายฟันปลาหรือฟันเลื่อย กลีบหุ้มดอก มีลักษณะรวมติดกันเป็นกรวยหุ้มกลีบดอกไว้ ดอกมีขนาดตั้งแต่ 2.5-3 นิ้ว สีของดอกมีหลายสี คือ ขาว ชมพู แดง แดงอมม่วง และอาจมีสองสีในดอกเดียวกันเป็นไม้ดอกสกุลเดียวกับ คาร์เนชั่น มีดอกสวยงามสะดุดตา ส่วนใหญ่มีดอกสีชมพู จึงได้ชื่อว่า pink

ผีเสื้อ กับ คาร์เนชั่น นั้นมีข้อแตกต่างที่พอจะใช้สังเกตได้คือ
1.ดอกผีเสื้อไม่มีกลิ่น
2.ใบของผีเสื้อมีแผ่นใบกว้างกว่าของคาร์เนชั่น
3.ใบของคาร์เนชั่นมีสีเขียวอมเทาเงิน
ดอกผีเสื้อชอบแสงแดดจัด อุณหภูมิกลางคืนเย็นแต่ก็ไม่จำเป็นต้องเย็นมาก สามารถปลูกได้ในกรุงเทพฯ ดินปลูกต้องมีความอุดมสมบูรณ์ มีธาตุอาหารครบครัน โปร่ง มีอินทรีย์วัตถุสูง ถ้าต้องการดอกที่มีขนาดสม่ำเสมอ ดอกดกและดอกบานพร้อมๆ กัน ควรเด็ดยอดออก โดยทำการเด็ดยอดเมื่อต้นสูงประมาณ 6 นิ้ว หรืออาจเด็ดหลังจากปลูกได้ประมาณ 4 สัปดาห์ หลังจากนั้นต้นจะแตกกิ่งก้านทำให้พุ่มต้นใหญ่ขึ้น ระยะเวลาจากเพาะเมล็ดถึงให้ดอกประมาณ 3 เดือน

พันธุ์ที่ใช้ปลูกมี
  • พันธุ์ Bravo ดอกมีสีแดงเข้ม
  • พันธุ์ China Doll ดอกสีแดงเข้มแต้มขาว กลีบดอกซ้อน
  • พันธุ์ Snowflake ดอกสีขาว
  • พันธุ์ Snowfire เป็นลูกผสม ดอกมีสองสี คือ มีสีขาวเป็นพื้น ตรงใจกลางดอกมีสีแดง
  • พันธุ์ ในชุด Charm siries คือ Coral Charm มีสีชมพู, Crimson Charm มีสีแดง, White Charm มีสีขาว, Light Charm มีสีชมพูอ่อน

18 August 2010

ดอกหลิว

ดอกหลิว

รวมกันเราสวยงาม แยกกันเราแค่ "วัชพืช"

บางครั้ง บางคราว เราอาจจะคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองมี

ความสามารถ แต่ทว่าเราก็ใช่จะเก่งทุกด้านเสมอไป

มิเช่นนั้นแล้วคงสร้างรถยนต์เองได้

สร้างโทรศัพท์มือถือมาใช้เอง

มีคอมพิวเตอร์ที่สร้างใช้เอง

แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรายังต้องพึ่งพากันอยู่ เราอยู่คนเดียวมิได้ เรารวมกลุ่มกัน เพื่อทำให้เข้มแข็งขึ้น

มิใช่ร่วมกลุ่มกัน เพื่อหาประโยชน์จากกลุ่ม "รวมกลุ่มเราสวยงาม แยกกันอยู่เราก็แค่ "วัชพืช"

ต้นหลิว
ชื่อวิทยาศาสตร์: C uphea hyssopifolia Humb. Bonpl.
ชื่อวงศ์: LYTHRACEAE
ลักษณะทั่วไป:เป็นพรรณไม้พุ่มขนาดเล็ก ที่มีทรวดทรงของลำต้นเตี้ย
แตกกิ่งก้านสาขาเล็กๆ ออก รอบต้นจนแน่นทึบ ลำต้นสูงประมาณ 12-20 นิ้ว
ใบเป็นใบเดี่ยว
หลิวไต้หวันนี้ขนาดใบจะเล็ก ซึ่งเล็กอยู่ประมาณ 1 เซนติเมตรเท่านั้น

มีสีเขียวเข้มและเป้นมัน เนื้อใบหนาแข็งและระคายมือ มีใบดกจะแตกออกจนเป็นพุ่มหนาทึบ
จะแตกออกตรงโคนก้านใบตรงส่วนยอดของลำต้น ดอกมีสีม่วงสดหรือสีขาว ซึ่งดอกของหลิวไต้หวัน
นี้มีขนาดเล็กมาก ประมาณ 8 มิลลิเมตร และมีฐานรองดอกเป็นรูปกรวยสีเขียวเหลือง ตรงปลาย
จะมีกลีบเล็กๆ อยู่ 5-6 กลีบ เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ชอบแสงแดดจ้าทั้งวัน การปลูกเลี้ยงง่าย ขึ้นได้
ทั่วไปโดยไม่เลือกดิน แต่เมื่อโตขึ้นควรจะเติมปุ๋ยให้ดีบ้าง ต้นจะได้ไม่ชะงักการเจริญเติบโต
ต้องการน้ำและความชุ่มชื้นปานกลาง
ส่วนของการขยายพันธุ์ ทำได้ง่ายๆด้วยการปักชำ

14 August 2010

หว่านสี่ทิศ

หว่านสี่ทิศ

อุดร บูรพา ทักษิณ ประจิม รวมกันเป็นหนึ่ง

ต่างทิศ ต่างทาง ต่างความคิด ต่างประสบการณ์ แต่ทว่าในความ

แตกต่างก็รวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ เพราะทุกทิศล้วนใช้ความแตกต่าง

เหล่านั้น ทำหน้าที่และประโยชน์ยังผลของส่วนร่วม หากยึดแต่ผล

ประโยชน์ของตน คงมีแต่ความขัดแย้ง มีก่อให้เกิด "หว่านสี่ทิศ"

ขอให้จดจำไว้ว่า "แตกต่าง ไม่แต่งแยก ใช้ความต่างให้เกิด

ประโยชน์ต่อส่วนร่วม จะเกิดผลยิ่งใหญ่ในหนึ่งเดียว"

หว่านสี่ทิศ
ว่านสี่ทิศเป็นพรรณไม้ดอกอายุสั้น พุ่มสูง 35 - 60 เซนติเมตร
มีลักษณะลำต้นเป็นหัวหรือเหง้า อยู่ใต้ดิน
และ ส่วนที่โผล่ขึ้นมานั้นจะเป็นส่วนก้านใบและตัวใบเท่านั้น ซึ่งหัวนี้ลักษณะจะคล้ายๆกับหอมหัวใหญ่ สำหรับใบที่โผล่ขึ้นมาเหนือดินนั้นจะมีลักษณะเป็นรูปหอกเรียวยาว และมีสีเขียวสดเป็นมัน ใบหนา ขอบใบเรียบไม่มีจัก ใบกว้างประมาณ 4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 15 - 30เซนติเมตร หรือาจจะมากกว่านั้นก็ได้ ดอกออกปลายก้าน ออกเป็นช่อ 4 - 8 ดอก หันไปทั้งสี่ทิศ ดอกรูปถ้วย ขนาดดอก 8-15 เซนติเมตร มี 6 กลีบมี สีขาว สีชมพู สีแดง และบาางชนิด มีแถบสีต่างๆพาดกลีบ ดอกแรกที่จะบานจะรอจนดอกที่ 4 บานจึงจะเหี่ยว ออกดอกช่วงเดือนพฤษภาคม - เดือนมิถุนายน หัวโตเต็มที่พร้อมให้ดอกมีขนาด 4 เซนติเมตร ส่วนหัวลูกขนาดเล็ก แยกหัวนำมาปลูก เลี้ยงใบให้หัวโตเต็มที่ แล้วจะออกดอกต่อไปว่านสี่ทิศเป็นพรรณไม้ทีปลูกที่แสงแดดจัด เป็นไม้กลางแจ้ง ที่ชอบแสงแดดมากๆเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุยหรือดินปนทราย ระบายน้ำได้ดี แต่ก็ยังสามารถนำไปปลูกประดับในอาคาร ซึ้งก็เจริญเติบโตและให้ดอกได้เชยชมด้วยเช่นกัน
หว่านสี่ทิศ กับ ความเชื่อเรื่องไม้มงคล
ความเชื่อของคนสมัยก่อนของไทย
ได้เชื่อโชคลาภที่เกี่ยวกับว่านเป็นอย่างยิ่ง และในความเชื่อนนี้ก็มีความเชื่อเกี่ยวกับว่านสี่ทิศ
ว่า ว่านสี่ทิศ ถ้าเลี้ยงว่านสี่ทิศ ให้ออกดอกพร้อมกันได้ทั้งสี่ดอกหรือสี่ทิศผู้ที่ปลูกเลี้ยง
จะมีโชคลาภ และหาก ว่าในช่วงที่ว่านสี่ทิศกำลังออกดอกทั้งสี่ทิศอยู่นั้น
ผู้เลี้ยงคิดจะทำอะไรหรือริเริ่มอะไร ก็จะประสบแต่ความสำเร็จสมหวังทุกประการ
แต่ถ้าว่านสี่ทิศออกดอกไม่ครบทั้งสี่ดอก หรือออกดอกแค่ 2 หรือ 3 ดอก
ก็เชื่อว่าจะไม่เป็นผลดีต่อผู้เลี้ยง เหมือนเป็นลางบอกเหตุว่าจะมีสิ่งไม่ดีเกิดแก่ผู้เลี้ยง

ชบาไพร


ชบาไพร

ดอกไม้ไทยๆ ที่หลายคนอาจมองข้ามไป ให้ความสนใจ

แต่ดอกไม้นานาชาติ จนหลงลืมความเป็นไทยไป

เมื่อย้อนกลับมาในสังคมไทย ก็คง ไม่ต่างกัน คนไทนหันไปตาม

กระแสโลกนิยม ไม่ว่าจะเป็น เกาหลี ญี่ปุ่น หรือ กระแสตะวันตก

จนหลงลืมความเป็นไทย

กลับมาเถอะ ให้ความสนใจบ้านตัวเอง

ให้ความสำคัญกระแสนิยมต่างชาติ

แค่แขกที่มาเยือน มาแล้วก็ผ่านไป แต่เรื่องราวความเป็นไทย

มันฝังลึกอยู่ในสายเลือด และพนธุกรรม ที่ทำอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ และจะอยู่กับตัวเองตลอดกาล

ดอกชบา
ชื่อสามัญ Chinese rose
ชื่อวิทยาศาสตร์ Hibiscus rosa sinensis.
ชบาในบ้านเรารู้จักกันมานานแล้ว จะเห็นได้จากบ้านคนสมัยก่อนจะมีชบายอยู่แทบทุกบ้าน
ปัจจุบันชบาได้รับการผสมพันธุ์เพื่อให้ได้พันธุ์ใหม่ออกมามากมาย ซึ่งล้วนแต่สวย ๆ งาม ๆ
ทั้งนั้น ทำให้ได้ดอกของชบาที่มีรูปร่างสวยงามสีสันของดอกสดใส ขบานั้นจัดเป็นไม้พุ่ม ความ
สูงโดยทั่วไปประมาณ 2.50 เมตร ใบมีสีเขียวเข้ม มนรี ปลายใบแหลม แต่ปัจจุบันก็ยังมีพันธุ์ แตกต่างออกไปอีกมากมาย
ชบาไม้ดอกที่ปรับตัวเจริญเติบโตได้ทุกสภาพแวดล้อม แต่ที่เหมาะสมคือสภาพอากาศอบอุ่นจนถึงร้อน ดินปลูกควรเป็นดินร่วนที่มีความอุดมสมบูรณ์ไม่มีน้ำขังแฉะ การให้น้ำควรให้สม่ำเสมอ ถ้าขาดน้ำจะสลัดใบล่างทิ้งอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้แล้วในคัมภีร์อายุรเวท พูดถึงสรรพคุณของดอกชบาว่า ช่วยฟอกโลหิต บำรุงจิตใจให้แช่มชื่น บำรุงผิวพรรณ นอกจากนี้ยังช่วยรักษาและบรรเทาโรคเกี่ยวกับไต และโดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง เช่น เสียเลือดประจำเดือนมากเกินไป ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ รวมทั้งปัญหาเรื่องระดูขาว ไม่เพียงแต่ดอกชบาเท่านั้นที่ใช้เป็นยาดีของอินเดีย ส่วนอื่นๆของชบายังใช้เป็นยารักษาโรคได้ด้วย อย่างเช่น เปลือกต้นชบาใช้รักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา ใบชบาใช้แก้แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก บำรุงผม
* ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มีระดูขาว - นำดอกชบาสด 4 ดอกมาตำให้แหลก แล้วกินตอนท้องว่างในตอนเช้าติดต่อกัน 7 วัน นำดอกชบามาตากให้แห้งในที่ร่ม เมื่อแห้งสนิทดีแล้ว เอามาบดเป็นผง กินครั้งละ 1 ช้อนชาตอนเช้าติดต่อกันนาน 7 วัน
* ประจำเดือนไม่มา ใช้ดอกชบา 3 ดอกบดให้แหลก แล้วผสมกับน้ำมะนาวสัก 2 ช้อนโต๊ะ หรือผสมกับนม 1 แก้ว แล้วดื่มตอนท้องว่างตอนเช้า จะช่วยปรับเรื่องประจำเดือนได้ เอาเฉพาะกลีบดอกชบาผสมกับน้ำตาลอ้อยหรือน้ำตาลปี๊บอย่าง ละเท่าๆ กันใส่ในโถแก้วมีฝาปิด แล้วเอาโถแก้วออกตากแดดติดต่อกันสัก 21 วัน น้ำตาลจะละลายผสมกับดอกชบา พอครบกำหนดแล้วเอามากินครั้งละ 2 ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง นานสองถึงสามสัปดาห์ ยาสูตรนี้ถือว่า เป็นยาบำรุงประจำเดือน
* ดับร้อนและแก้ไข้ - ใช้ดอกชบา 4 ดอกแช่ในน้ำต้มสุก 2 แก้ว แล้วดื่มต่างน้ำ จะช่วยดับร้อนผ่อนกระหายและแก้ไข้ได้ดี
* รักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา เช่น ฮ่องกงฟุต - ใช้เปลือกต้น 50 กรัม แช่ในแอลกอฮอล์ 150 ซีซี นานหนึ่งวัน แล้วกรองเอาแต่น้ำยาไว้ทาบริเวณที่เป็นฮ่องกงฟุต
* รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก - ใช้ใบชบาหรือฐานดอกก็ได้มาตำให้แหลก แล้วเอามาพอกบริเวณที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก น้ำเมือกจากใบจะช่วยรักษาแผลได้เป็นอย่างดี
* บำรุงผม - ใช้ใบชบาหนึ่งกำมือมาล้างให้สะอาด ตำให้แหลก เติมน้ำเล็กน้อย แล้วคั้นเอาแต่น้ำ กรองเอากากทิ้ง แล้วใช้น้ำเมือกจากใบชบาสระผม ช่วยชำระล้างสิ่งสกปรก และบำรุงเส้นผมให้ดกดำเป็นเงางาม
ดอกไม้ใช่มีแต่ความงาม แต่เป็นยารักษาโรคได้ด้วย

13 August 2010

ใบไม้บนสายน้ำ

ใบไม้กับสายน้ำ

ความจริงที่ว่า "ใบไม้ ก็มีความงามในตัว"

ความจริงที่ว่า "สายน้ำก็มีความงามในตัว"

แต่ทว่า "เมื่อความงามทั้งสองมาพบกัน"

จึงเกิดความงามในแบบใหม่ขึ้นมา

"เหมือนกับ มนุษย์เรา ที่อยู่คนเดียวได้ แต่ยังไงก็ต้องพึ่งพาคนอื่นๆ

ด้วย จึงจะทำให้ชีวิตลงตัว"

"อย่าใส่ใจแต่ตัวเอง จงสนใจคนรอบข้างบ้าง"



Marsilea crenata Presl, Rel. Haenk.
ผักแว่น(เหนือ อีสาน กลาง ), ผักลิ้นปี่(ใต้), หนูเต๊าะ(กระเหรี่ยง-ภาคเหนือ)
ผักแว่น เป็นเฟินน้ำที่พบเห็นได้ทั่วไป ตามริมน้ำ หรือพื้นดินที่มีน้ำขังแฉะ รวมไปถึงตามนาข้าว ที่ชาวนาถือว่าเป็นวัชพืช แต่ผักก็ยังมีประโยชน์ สามารถนำมากินเป็นผักสด มีคุณค่าทางอาหาร และยังมีสรรพคุณทางยาด้วย

ลักษณะทั่วไป

ผักแว่น เป็นเฟิร์นน้ำชนิดหนึ่ง ชอบขึ้นตามชายตลิ่ง หรือที่แฉะที่น้ำท่วมขัง มักพบเป็นวัชพืชในนาข้าว ลำต้นเป็นก้านยาวเลื้อยไปตามพื้น แตกรากและใบตามข้อหรือตาที่แตะกับพื้นและงอกเป็นต้นใหม่ มีก้านใบยาว แตกกิ่งก้านทอดเลื้อยตามพื้นดิน หรือบนผิวน้ำ มีราก และใบงอกออกตรงข้อ ลำต้นมีกลิ่นหอมคล้ายรำ เมื่อยังอ่อนมีสีเขียว ตอนแก่มีสีน้ำตาล มีขนอ่อนปกคลุม ใบเป็นใบประกอบมีใบย่อย 4 ใบ ใบย่อยรูปร่างแบบสามเหลี่ยมปลายใบโค้งกลม ยาว 5-15 เซนติเมตร ลักษณะคล้ายลิ่ม แตกออกจากปลายก้านใบจุดเดียวกัน โคนใบสอบเข้าหากัน ชอบใบเรียบ หรือเป็นคลื่น หรือเป็นจักฟันเลื่อย ไม่มีดอก แต่จะมีอับสปอร์เป็นเม็ดสีดำ คล้ายเมล็ดถั่วเขียว ออกเป็นช่อที่โคนก้านใบ มีก้านชู ขณะยังอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่เป็นสีน้ำตาลดำ

จากการทดลองค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์
พบว่า ผักแว่นใช้รับประทานเป็นผัก ผักแว่น 100 กรัม ให้ พลังงาน 15 กิโลแคลอรี่ โปรตีน 1 กรัม แคลเซี่ยม 37 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 66 มิลลิกรัม เหล็ก 3.5 มิลลิกรัม ไนอาซีน 3.4 มิลลิกรัม วิตามินซี 3 มิลลิกรัม เบต้า-คาโรทีน 98.73 หน่วย RE

01 August 2010

บัวดิน

" บัวดิน "

กลีบขาว เกสรเหลือง ความงดงามของธรรมชาติที่เปล่ง

ประกายออกมา บัวดิน ฟังดูแล้วอาจไม่ยิ่งใหญ่ เหมือน

บัวหลวง บัวสวรรค์ แต่ทว่าความสวยงามย่อมมิแพ้กัน

เพราะแต่ละดอก แต่ละสายพันธุ์ต่างก็มีหน้าที่

และเอกลักษณ์ เฉพาะตัว เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับ

คน ต่างมีคุณสมบัติ รูปลักษณ์มีหน้าที่แตกต่างกัน แต่

ทว่า ทุกคนล้วนแต่เป็นกลไกหนึ่งที่สำคัญที่จะขับเคลื่อนโลกให้เดินหน้าต่อไป ขอทุกคนจงตระหนักในหน้าที่

ของตนให้ดี

"บัวดิน"
ชื่ออย่างเป็นทางการของดอกไม้ชนิดนี้คือ "บัวสวรรค์"
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zephyranthes spp.
วงศ์ : Amarylieaceae
ชื่อสามัญ : Zephyranthes
ชื่ออื่น ๆ : Zephyranthes Lily, Rain Lily ,Fairy Lily, Little Witches, บัวสวรรค์, บัวดิน, บัวฝรั่ง
ดอกไม้ชนิดนี้แม้มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลาง อเมริกาใต้ แต่ก็มาอยู่บ้านเรานานแล้ว นานจนคนไทยในภาคเหนือเรียก ดอกไม้ชนิดนี้ว่า ดอกเข้าพรรษา
ดอกบัวดิน มีสีอยู่หลายสีด้วยกัน ไม่วาจะเป็นสีขาว สีชมพู สีเหลือง
จะออกดอกได้สวยงามเมื่ออยู่ในฤดูฝน (ดังนั้นจึงเรียกว่า ดอกเข้าพรรษา นั่นเอง)